วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประโยชน์ของการเลือกตั้ง

                                                  





ประโยชน์ของการเลือกตั้ง
ไม่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ไหน ที่ไม่มีการเลือกตั้ง ลิงคอบ กล่าวว่า การปกครอง ประชาธิปไตย ตือการปกครอง ของ ประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เชฮร์ชิล กล่าวว่า การปกครองประชาธิปไตยคือการปกครองที่เลวน้อยที่สุด
        1 การเลือกตั้งคือการได้เจตจำนงของประชาชนว่าประชาชนต้องการให้ใครได้อำนาจในการปกครอง และเมื่อถึงเวลาก็ต้องมาเลือกตั้งกันไหม่ ประชาชนยังต้องการให้เป็นผู้ปกครองอีกหรือไม่ หรืออยากเปลี่ยนให้คนอื่นปกครอง
        2 ในสมัยก่อนแม้จะมีการสถาปนารัฐแล้ว แต่ภายในรํฐยังมีการแย่งชิงอำนาจกันอยู่ หากใช้การเลือกตั้งแม้ปัจจุบันยังมีการซื้อเสียงอยู่แต่ก็ดีกว่าการรบ หรือ การยึดอำนาจหัน   ตัวอย่างเช่น เจ้าเมืองในท้องที่หนึ่ง มีบริวารหลายคน แต่ละคนต้องการเป็นใหญ่ แล้วปะลองกำลังกัน เจ้าเมืองห้ามก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ก็สั่งได้เพียงอย่าให้ถึงตายนะ แต่หากจัดให้มีการเลือกตั้ง อาจจะดีกว่าให้ลูกน้องรบแย่งชิงกันเอง
         3 ประโยชน์ของการเลือกตั้ง ทำให้ผู้ปกครองฟังเสียงของประชาชน
         4 กระตุ้นเศรษกิจในช่วงหาเสียง ไม่ว่าจะเป็น โรงพิมพ์ เครื่องขยายเสียง เวที  นักร้อง อาจไม่ค่อยได้รับผลเท่าไหร่ แต่โฆษกที่พูดเก่ง ล้วนมีคนติดต่อให้ช่วย ซึ่งโฆษกส่วนใหญ่ได้รับค่าตอบแทนเป็นน้ำหนึ่งแก้ว โรงพิมพ์บางโรงบ่นว่าต้องเก็บเงินมัดจำก่อนเพื่อความปลอดภัย
         5 เหล่าผู้สูง อายุ, ลูกหลานมาเยี่ยม และมารับไปช่วยหาเสียง
         6  ท่านมีโอกาสพบนักการเมือง หรือผู้บริหารในอนาคตได้ดดยง่ายในช่วงเลือกตั้ง
         7  หากท่านต้องการเช่าพระท่านจะได้ข้อเสนอที่ดีมากในช่วงเลือกตั้ง ทั้งนี้วัตถุมงคลเป้นจำนวนมากในมือของนักการเมืองจะปล่อยออกมาสู่ตลาด  เซียนพระเขาบอกมา
        
  

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประชาธิปไตย






ความหมายของประชาธิปไตย
                1.ความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Democracy ซึ่งมาจากคำภาษากรีกว่า Democratia ซึ่งประกอบด้วยคำ  2  คำ  คือ Demos กับ kratein คำว่า Demos หมายถึง ประชาชน และ Kratein หมายถึง การปกครอง ฉะนั้นประชาธิปไตย (Demoskratia) จึงหมายถึง ประชาชนปกครอง หรือการปกครองโดยประชาชน
                2.ความหมายที่เน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค นักปรัชญาการเมืองหลายท่านที่ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการปกครองที่ดีก็คือ การปกครองที่เคารพสิทธิและความเสมอภาคของมนุษย์ เชื่อว่าสมาชิกของสังคมทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมโดยส่วนรวม ยอกจากนี้ระบบการเมืองจะต้องเปิดโอกาส หรือให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการดำเนินการใดๆ ภายใต้กฎระเบียบของสังคมด้วย ซึ่งรูปแบบการปกครองดังกล่าว ก็คือระบอบประชาธิปไตย
                3.ความหมายที่เน้นการเข้ามีส่วนร่วมหรือเสียงของประชาชน ในเมื่อระบอบประชาธิปไตยให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ใช้อำนาจนี่ผ่านทางองค์กรทางการเมืองต่างๆ เพื่อประโยชน์สุขของตนเอง บาทบาทของประชาชนในทางการเมือง จึงมีความสำคัญมากในระบอบนี้ จนมีผู้กล่าวว่า ประชาธิปไตยนั้นถือว่าประชาชน คือ เสียงสวรรค์ เป็นระบอบที่เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมดำเนินการเพื่อสร้างสรรค์สังคมของตนเอง กิจกรรมการเข้าร่วมทางการเมืองของประชาชน อาจเป็นทางอ้อมโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์เข้าไปทำหน้าที่แทน หรืออาจเป็นทางตรง เช่นการประท้วง การร้องเรียน ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลรับทราบถึงปัญหา เป็นต้น
                4.ความหมายที่เน้นเจตนารมณ์ของประชาชน ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกาได้ให้ความหมายของคำว่าประชาธิปไตยไว้อย่างกระชับและคมคายว่า เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยนั้น ผู้นำทางการเมืองเป็นผู้ที่ถือเสมือนเป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของประชาชน รัฐบาลเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก หรือได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่ รัฐบาลจะคงอยู่ในอำนาจต่อไปได้เมื่อวาระสิ้นสุดลง ก็โดยการแสดงให้ประชาชนผู้เลือกตั้งเห็นว่า รัฐบาลสามารถสนองตอบต่อเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น
                5.ความหมายตามที่มาและขอบเขตอำนาจ มีผู้ให้ความหมายของประชาธิปไตยไว้ว่า อำนาจสูงสุดมาจากประชาชน ทั้งนี้โดยอ้างว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมมีสิทธิและเสรีภาพ   โดยธรรมชาติ พวกเขาสามารถที่คิดและกระทำการใดๆ ได้ แต่เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นสังคม เขาจะสละสิทธิ์และอำนาจบางประการให้กับผู้ปกครอง เพื่อใช้อำนาจนั้นดำเนินการภายในกรอบที่กำหนด ฉะนั้นเราจะพบว่ารัฐบาลในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้นจะมีอำนาจที่มีขอบเขต
                จากความหมายอันหลากหลายของคำว่า ประชาธิปไตย นี้ จึงอาจสรุปความหมายหลักได้ 3 ประการ คือ
                    1.ความหมายในเชิงอุดมการณ์ทางการเมือง
                    2.ความหมายในเชิงรูปแบบการปกครอง
                    3.ความหมายในเชิงวิถีวิชีวิตของประชาชน

ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
1. ติดยาเสพติดให้โทษ

2. เป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นจากคดี

3. เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 34 (1) (2)หรือ (4)

4. ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล

5. ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไป และได้พ้นโทษมายังไม่ถึง ห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท

6. ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือต้องคำพิพากษามายังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี

7. เคยถูกไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ

8. เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ

9. เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณีมายังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง

10. อยู่ในระหว่างเสียสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ตาม มาตรา 37 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา

11. เคยถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมายังไม่ถึงไม่ถึงหนึ่งปี นับแต่ วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งอันเนื่องมาจากการกระทำการโดยไม่สุจริตตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับเลือกตั้งหรือได้รับเลือกตั้งมาโดยไม่สุจริต

12. เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น

13. เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาหรือเป็นผู้สมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น

14. เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ

15. เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจหรือราชการ
ส่วนท้องถิ่นหรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ

16. เป็นกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
                          
1.สัญชาติไทย(ผู้แปลงสัญชาติต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า5ปี)
2.อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง
3.มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง
4.ไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ในการเลือกตั้ง
     (1)วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
     (2)เป็นภิกษุ สามเณร  นักพรต หรือนักบวช
     (3)ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาล หรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
     (4)อยู่ระหว่างการเพิกถอนสิทธิในการเลือกตั้ง

การเลือกตั้งมี 2 ระดับ

1.ระดับชาติ
   1.1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(ส.ส.)ทั้ง แบบบัญชีรายชื่อ   แบบแบ่งเขต
     1.2 การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)
2.ระดับท้องถิ่น
     2.1  การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.)
     2.2  การเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ (ส.ก.)
     2.3  การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
     2.4  การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.)
     2.5 การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.)
     2.6 การเลือกตั้งสมาชิกสภาเมืองพัทยา (ส.มทย.)

หน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง

คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
  1. ควบคุมและดำเนินการจัด หรือจัดให้มีการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
  2. ออกประกาศกำหนดการทั้งหลายอันจำเป็นแก่การปฏิบัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
  3. มีคำสั่งให้ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ปฏิบัติการทั้งหลายอันจำเป็นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
  4. ออกข้อกำหนดเป็นแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติ
  5. ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งที่ใช้วิธีการแบ่งเขตเลือกตั้ง และจัดให้มีบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
  6. สืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
  7. สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือออกเสียงประชามติใหม่ในหน่วยเลือกตั้งใดหน่วยเลือกตั้งหนึ่งหรือทุกหน่วยเลือกตั้ง หรือสั่งให้มีการนับคะแนนใหม่ เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติในหน่วยเลือกตั้งนั้น ๆ มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
  8. ประกาศผลการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติ
  9. ดำเนินการหรือประสานงานกับหน่วยราชการ ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือสนับสนุนองค์การเอกชนในการให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
  10. จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีและข้อสังเกตเสนอต่อรัฐสภา
  11. ดำเนินการอื่นตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอื่น หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด บุคคล คณะบุคคลหรือผู้แทนองค์การเอกชน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายได้.

    วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548-2553 เป็นชุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมือง ซึ่งมีความเห็นต่อต้านและสนับสนุนทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งวิกฤตการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเสรีภาพสื่อ เสถียรภาพทางการเมืองในไทย ทั้งยังสะท้อนภาพความไม่เสมอภาคและความแตกแยก ระหว่างชาวเมืองและชาวชนบท การละเมิดพระราชอำนาจ การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งบั่นทอนการเมืองไทยมาเป็นเวลาช้านาน
    ในปี พ.ศ. 2548 เริ่มมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง ซึ่งมีความเห็นว่าทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ควรออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งกลุ่มนี้นำโดยสนธิ ลิ้มทองกุล จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ส่งผลให้ฝ่ายทหารคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก้าวขึ้นสู่อำนาจ และเข้ามามีบทบาททางการเมือง ส่งผลให้ไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ซึ่งมีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่าง พ.ศ. 2549-2550 ซึ่งในช่วงดังกล่าว มีกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารหลายกลุ่ม นำโดยกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน (นปช.) เพื่อขับไล่ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์

   ต่อมา พรรคพลังประชาชน ซึ่งถูกมองว่าเกี่ยวข้องทางการเมืองกับทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550 และจัดตั้งรัฐบาลผสม ทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งเคยเคลื่อนไหวต่อต้านทักษิณ ชินวัตร ก่อนเหตุการณ์รัฐประหารมาแล้ว กลับมาชุมนุมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากตำแหน่ง ก่อนจะยุติการชุมนุม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคพลังประชาชน

    ผลการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ปรากฏว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมัยรัฐบาลทักษิณ สมัคร และสมชาย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้กลุ่ม นปช.กลับมาชุมนุมอีกครั้ง เพื่อกดดันให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนวันที่ 10 พฤษภาคม อภิสิทธิ์ประกาศยุบสภา และผลการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยชนะ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดมา

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การเลือกตั้งสมาชุกวุฒิสภา

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดไม่ไปใช้เลือกตั้ง และมิได้แจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง 7 วัน หรือหลังวันเลือกตั้งภายใน 60 วันนับจากวันประกาศชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่แจ้งเหตุที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือแจ้งเหตุแล้วแต่เหตุนั้นมิใช่เหตุอันสมควร ที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถือว่าผู้นั้นเป็นบุคคลที่ไม่ไปเลือกตั้ง ซึ่งอาจทำให้เสียสิทธิดังต่อไปนี้
  1. สิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น
  2. สิทธิร้องคัดค้านการเลือกตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องถิ่น
  3. สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น
  4. สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องถิ่น
  5. สิทธิเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้รัฐบาลพิจารณากฎหมาย ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
  6. สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
  7. สิทธิเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้วุฒิสภามีมิติถอดถอนบุคคลตามกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
  8. สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บรหารท้องถิ่น ตามกฎหมาย ว่าด้วยการลงคะแนนเสียง เพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น
การเสียสิทธิดังกล่าวนั้น มีกำหนดตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้นั้นไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้นั้นไปใช้สิทธิ
หมายเหตุ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา คำว่า " วันเลือกตั้ง" หมายความว่า วันที่กำหนดให้เป็นวันเลือกตั้ง ตามพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา แล้วแต่กรณี

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา

 การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา มีคุณสมบัติดังนี้
  1. บุคคลมีสัญชาติไทย แต่ถ้าได้สัญชาติไทยโดยการแปลงชาติต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
  2. บุคคลมีอายุไม่ตำกว่า สิบแปดปีบริบรูณ์
  3. บุคคลมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้ว เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับถึงวันเลือกตั้งสมาชิวุฒิสภา
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องแจ้งต่อนายทะเบียนอำเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่น ซึ่งได้แก่ ผู้ว่า- ราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดเทศบาล ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล และผู้ใหญ่บ้าน ณ ที่ทำการอำเภอ ที่ทำการเทศบาล และที่ทำการท้องถิ่น ที่ตนภูมิลำเนาอยู่ การแจ้งกระทำโดย
  1. ส่งหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ สว.30 หรือทำหนังสือที่มีถ้อยคำตามแบบสว.30
  2. แจ้งเหตุด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้ผู้บรรลุนิติภาวะไปยื่น หรือส่งหนังสือแจ้งเหตุทางไปรษณีย์ลงทะเบียน
การแจ้งเหตุคือการแจ้งเหตุที่ทำให้ไม่สามารถไปเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา การแจ้งเหตุต้องกระทำก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 7 วัน แต่ถ้าหากว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และมิได้แจ้งเหตุที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ก่อนวัน เลือกตั้ง บุคคลก็สามารถแจ้งเหตุที่ทำให้ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ต่อนายทะเบียนอำเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่น ภายใน60 วันนับจากวันประกาศชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่ได้แจ้งเหตุอันควร ที่ทำให้ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เหตุอันควรของการไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
  1. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นมีกิจธุระจำเป็นเร่งด่วน ที่ต้องเดินทางไปพื้นที่ห่างไกลจากหน่วยเลือกตั้งเกินกว่า 100 กิโลเมตร ทำให้ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเลือกตั้งได้
  2. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นเจ็บป่วย และไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
  3. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นพิการหรือสูงอายุ และไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
  4. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และมิได้แจ้งความประสงค์ขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร
  5. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากที่เลือกตั้งเกินกว่า 100 กิโลเมตร
  6. เหตุสุดวิสัยอื่นหรือเหตุอื่นที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

ระบบการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ

            การเลือกตั้ง (Election) เป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยแบบทางอ้อม (indirect democracy) ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกตัวแทนของตนเข้ามาดำรงตำแหน่งต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะหมายถึง ตำแหน่งทางการเมือง และการเลือกตั้งเป็นกระบวนการสรรหาตัวผู้ปกครองกระบวนการหนึ่ง ในรัฐเสรีประชาธิปไตย  การเลือกตั้งถือเป็นกระบวนการแต่งตั้งผู้ซึ่งจะเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง  โดยผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน  ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรผู้แต่งตั้งแสดงเจตนาออกเสียงลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง  คะแนนเสียงดังกล่าวจะได้รับการนับและนำมาคำนวณเพื่อให้ได้ผลว่าบุคคลใด  จะเป็นผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  การเลือกตั้งเป็นวิธีการหนึ่งในหลายวิธีการในการที่จะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจทางการเมืองเคียงคู่ไปกับวิธีการอื่นๆ  เช่น  การให้ประชาชนมาออกเสียงแสดงประชามติในการตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญ  เป็นต้น
            นอกจากการเลือกตั้งจะเป็นเครื่องแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างหลักเสียงข้างมากกับหลักการคุ้มครองเสียงข้างน้อยแล้ว  การเลือกตั้งยังเป็นเครื่องแสดงออกซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนซึ่งเป็นการปกครองที่ได้รับความยินยอมจากประชาชนอีกด้วย  ที่ว่าเป็นการปกครองที่ได้รับความยินยอมจากประชาชน  ก็เนื่องจากประชาชนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจรัฐโดยตรง  แต่ประชาชนซึ่งเป็นผู้ทรงอำนาจแห่งรัฐให้ความยินยอมผู้แทนของตนใช้อำนาจรัฐได้ตามระยะเวลา  หรือตามวาระที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งในรัฐเสรีประชาธิปไตยมีขึ้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ เช่น  เพื่อให้มีการแข่งขันกันในทางนโยบายระหว่างกลุ่มหรือพรรคการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้แทนทางการเมืองที่ดี  เพื่อให้มีการโอนความเชื่อถือไว้วางใจของประชาชนไปยังบุคคลผู้ได้รับเลือกตั้งและพรรคการเมืองต่าง ๆ 
            ดังนั้น นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อ  พ.ศ.2475 เป็นต้นมาประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบเสียงข้างมากสัมพัทธ์มาโดยตลอด จะแตกต่างกันไปในแต่ละครั้งก็เพียงการกำหนดจำนวนเขตเลือกตั้ง หรือจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีได้ในแต่ละเขตเลือกตั้งเท่านั้น การเลือกตั้งในประวัติศาสตร์ไทยมีมาทั้งหมด 25 ครั้ง

การเลือกตั้งล่วงหน้า

 การลงคะแนนเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง หรือที่เรียกกันติดปากว่า “การเลือกตั้งล่วงหน้า” นั้น เป็นที่รู้จักมักคุ้นและเพิ่งจะมีในการเลือกตั้งกันเป็นครั้งแรก ก็ในการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2540 ในการเลือกตั้ง ส.ว. เมื่อปี 2543 และสืบเนื่องเรื่อยมาในการเลือกตั้งทั่วไป ส.ส.และส.ว.ทุกครั้ง

การเลือกตั้งล่วงหน้า แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ

การเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง3กลุ่ม คือ
กลุ่มผู้ที่ได้รับคำสั่งจากทางราชการให้ไปปฏิบัติหน้าที่นอกเขตเลือกตั้ง เช่น ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เป็นต้น
กลุ่มที่สองได้แก่ ผู้ที่จะต้องเดินทางไปนอกเขตเลือกตั้ง เช่น ไปต่างประเทศ ไปงานบวช งานแต่งงาน ฯลฯ
กลุ่มที่สามคือผู้ที่ในวันเลือกตั้งไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ เช่น หมอนัดผ่าตัด เป็นต้น ทำให้กกต.ต้องกำหนดเรื่องของการเลือกตั้งล่วงหน้าไว้เป็นการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัด ในส่วนนี้จะเป็นกลุ่มผู้ที่มีชื่่อตามทะเบียนบ้านอยู่ต่างจังหวัดหรือเพิ่ง ย้ายมาอยู่จังหวัดใหม่ไม่ถึง 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง และประสงค์จะใช้สิทธิเลือกตั้งในจังหวัดที่ตนอยู่ เช่น นายก.เป็นคนอำเภอเมือง จ.เชียงใหม่ แต่ได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ที่กทม.ไม่ถึง 90 วัน ก็ต้องไปลงทะเบียนในเขต กทม.ที่ตนเองอาศัยอยู่ แต่ต้องเลือก ส.ส. ที่อยู่ในเขตที่ จ.เชียงใหม่ ที่ตนเองมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตนั้น

การเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรหรือเลือกตั้งต่างประเทศ จะเป็นผู้ที่มีชื่อตามทะเบียนบ้านที่อยู่ในประเทศไทย แต่ได้อาศัยหรือทำงาน หรือเรียนหนังสืออยู่ต่างประเทศและประสงค์จะใช้สิทธิเลือกตั้งในประเทศที่ตน อาศัยอยู่ ในฐานะที่เป็นคนไทย ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้ง 3 กลุ่มนี้ก็ย่อมจะต้องมีสิทธิและมีหน้าที่ต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งด้วย เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนอื่น ๆ ดังนั้นรัฐธรรมนูญ ปี 40 รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจึงให้สิทธิและอำนวยความสะดวกให้สามารถเข้า ถึงการใช้สิทธิได้อย่างเต็มที่

vote

ในการเลือกตั้งที่ผ่าน ๆ มา การเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัด และ การเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักร ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะผู้ที่จะใช้สิทธิดังกล่าวจะต้องลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิก่อนวันเลือก ตั้งไม่น้อยกว่า 30 วัน การไปใช้สิทธิก็จะได้รับความสะดวกเพราะ ทางกกตจังหวัดสามารถเตรียมการอำนวยความสะดวกได้ทันเนื่องจากทราบจำนวนผู้ลง ทะเบียนล่วงหน้าถึง 30 วัน เช่นเดียวกับการเลือกตั้งล่วงหน้าต่างประเทศซึ่งทางสถานทูตและสถานกงสุลก็ สามารถเตรียมการจัดหน่วยเลือกตั้งกลางหรือจัดหน่วยเลือกตั้งเคลื่อนที่ รวมทั้งเปิดให้ลงคะแนนทางไปรษณีย์ได้ด้วย นับว่าผู้ใช้สิทธิทั้ง 2 กลุ่มนี้แทบไม่มีปัญหาใด ๆ

จะมีบ้างก็ ในการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัด ที่มีคนลงทะเบียนจำนวนนับแสนคนแต่ทาง กกต.จัดที่เลือกตั้งไว้เพียงแห่งเดียว เช่น ที่จังหวัดสมุทรปราการ จัดไว้ที่โรงเรียนนายเรือทำให้ผู้มาใช้สิทธิต้องแออัดยัดเยียดในการใช้สิทธิ ซ้ำการจราจรก็ติดอย่างหนัก ซึ่งในปีนี้ ได้รับการยืนยันว่า กกต.จังหวัดสมุทรปราการได้จัดเตรียมสถานที่รองรับไว้ถึง 4 แห่ง เพื่อให้กระจายมากขึ้น ทำให้เบาใจได้ในระดับหนึ่งว่าปัญหาเช่นที่เคยเกิดขึ้นน่าจะหมดไป รวมทั้ง กทม. ก็จะจัดให้มีการยื่นได้ทุกสำนักงานเขต กทม.

อย่างไรก็ดี ในการเลือกตั้งล่วงหน้าครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่ไว้วางใจระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ที่กังขาว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าโดยเฉพาะการเลือกตั้งล่วงหน้าประเภท “ในเขตเลือกตั้ง” อาจจะเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าได้ จึงแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง กำหนดให้ เลือกตั้งล่วงหน้าเพียง 1 วัน และต้องมีการลงทะเบียนก่อนจึงจะสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ เป็นการให้สิทธิตามความจำเป็น มิใช่ใช้หลัก “อำนวยความสะดวก” อย่างที่เคยเป็นมา

การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวนับว่า “เข้าทาง” กกต.อยู่ไม่น้อย พราะกกต.เคยจัดสัมมนาระดมความเห็นเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ต่างเห็นตรงกันว่า เพื่อให้สามารถจัดการเลือกตั้งได้ดี มีประสิทธิภาพ ควรให้มีการลงทะเบียน ซึ่งนอกจากจะสามารถจัดเตรียมบัตรเลือกตั้งได้อย่างเหมาะสมพอดีกับผู้ลง ทะเบียนขอใช้สิทธิ ยังจะลดวงจรขบวนการซื้อเสียงล่วงหน้าที่อ้างว่าติดธุระในวันเลือกตั้ง แล้วในช่วง “วอล์กอิน” มาขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าก่อนเพื่อนคนอื่น จึงเป็นอันว่าในการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผู้จะใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าต้องยื่นขอลง ทะเบียนก่อน

อย่างไรก็ตามข้อเสนอหนึ่งที่ทาง กกต.ขอแก้ไข แต่ทั้งสองสภาไม่เห็นด้วย คือ กกต.ต้องการให้การลงทะเบียนให้มีผลเพียงครั้งเดียว หากจะขอเลือกตั้งล่วงหน้าใหม่ก็ต้องลงทะเบียนใหม่นั้น เรื่องนี้ จึงอาจจะเป็นปัญหาสำหรับคน 2 ล้านเศษ ที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธินอกเขตจังหวัด หรือนอกราชอาณาจักรไว้ในการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อ 23 ธันวาคม 2550 และ การเลือกตั้ง ส.ว. ในวันที่ 2 มีนาคม 2551 ซึ่งป่านนี้บางคนอาจจะเรียนจบ หรือย้ายที่ทำงาน หรือย้ายกลับภูมิลำเนาเดิม หรือเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้ว หากประสงค์จะกลับไปใช้สิทธิตามที่ตนมีชื่อในทะเบียนบ้าน ก็จะต้องลงทะเบียนขอเปลี่ยนแปลงก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 30 วัน หรือภายในวันที่ 2 มิถุนายน 2554 มิฉะนั้นก็ต้องไปลงคะแนนยังที่เลือกตั้งกลางของจังหวัด หรือสถานทูตหรือสถานกงสุลในประเทศที่ตนได้ลงทะเบียนไว้

ระบบการเลือกตั้ง

ระบบการเลือกตั้ง
         
       ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง ในประเทศเผด็จการคอมมิวนิสต์ก็ยังมีการเลือกตั้งแต่รูปแบบและวิธีการย่อมแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของแต่ละประเทศ
          ประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาก็จะเอาตัวอย่างหรือวิธีการเลือกตั้ง มาจากประเทศที่พัฒนา แล้วแทบทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าวิธีการใดจะเหมาะสมกับประเทศของตน
          สำหรับประเทศไทยมีการเลือกตั้งมา 20 กว่าครั้ง ลองผิดลองถูกมาหลายแบบ ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อ 15 พ.ย. 2476 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทย ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย
          เป็นการเลือกตั้งที่เรียกว่า เลือกตั้งโดยวิธีอ้อม ซึ่งเป็นครั้งเดียวของประเทศไทย นอกนั้นเป็นการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด มีทั้งแบ่งเขต รวมเขต แบบผสมรวมเขตกับแบ่งเขต
          การกำหนดจำนวน สส. หรือผู้แทนราษฎรใช้จำนวนประชากรเป็นตัวคำนวณ ซึ่งบางประเทศใช้หลักของเขตแดนเป็นตัวคำนวณ
        ในทางทฤษฎีนั้นผู้แทนควรมาจากเขตที่แน่นอนจะมีความเหมาะสมกว่าเช่นเขตของอำเภอเป็นต้นถ้าใช้จำนวนประชากรทำให้เป็นปัญหาในการแบ่งเขต เพราะต้องไปตัดเอาพื้นที่ของอีกอำเภอหนึ่งมาปะกับอำเภอที่มีประชากรไม่ครบจำนวนที่กำหนดไว้ ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกสับสน
          แต่ผู้มีอำนาจในการแบ่งเขตของประเทศไทยก็ไม่ให้ความใส่ใจในประเด็นนี้ เช่นอำเภอ ท่าศาลา ของนครศรีธรรมราชถูกตัดออกเป็น 3 ส่วน ทำให้ประชาชนไม่มีโอกาสเลือกผู้แทนที่ตนต้องการ เพราะต้องไปรวมกับเขตอื่น ทำให้ต้องไปเลือกคนท้องถิ่นอื่นเป็นผู้แทนของตน
          ยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่ชัดเจนว่าวิธีการเลือกตั้งที่ไทยนำมาใช้นั้น แบบไหนดีที่สุดและเหมาะสมกับประเทศของเรา แต่นักวิชาการก็ได้มีการศึกษาแบบใหม่มากพอสมควรและนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 เรียกว่าการเลือกตั้งระบบสัดส่วนและเขตละ 1 คน(Proportional Representation and Single Member Constituency หรือ The first past the post)
             คณะกรรมการวิสามัญศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นผู้ทำการศึกษารัฐธรรมนูญไทยว่ามีจุดอ่อนและข้อบกพร่องอะไรบ้าง ก่อนที่จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2534 ทั้งหมด 25 ประเด็นแต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของสมาชิกรัฐสภา จึงได้เกิดคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองขึ้นในปี 2538 เพื่อศึกษาหาวิธีการในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
             มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้น ทำให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญในปี 2539  และได้ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญในปี 2540 เสร็จและประกาศใช้เมื่อตุลาคม 2540
             ระบบการเลือกตั้งที่ได้ศึกษาไว้ตั้งแต่ปี 2536 ได้ถูกนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ในหลักการและรายละเอียดของระบบนี้ให้นักการเมืองและประชาชนเข้าใจให้ลึกซึ้งพอ จึงถูกนำไปใช้ในทางที่เห็นแก่ตัว ทำให้สังคมเข้าใจผิดในหลักการและสาระสำคัญ และคิดไปในทำนองที่ว่าระบบการเลือกตั้งนี้ไม่ดี แม้แต่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปัจจุบันก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป ยังไม่ทราบว่าจะลงเอยในรูปแบบใด
             ระบบเลือกตั้งนี้เชื่อว่าเยอรมันเป็นผู้คิดขึ้น และประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกได้นำไปดัดแปลงใช้เพื่อให้เหมาะสมกับประเทศของตน ในทวีปเอเชียนั้นญี่ปุ่นได้นำมาใช้ก่อน สัดส่วนระหว่างผู้แทนฯ จากกระบบบัญชีรายชื่อกับผู้แทนเขตเลือกตั้งเป็น 2:3
             ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ใช้อัตราส่วน 1:4 โดยไม่มีเหตุผลทางวิชาการรองรับ แต่ต้นตำหรับเขาใช้ครึ่งต่อครึ่งของจำนวน ส.ส. ทั้งหมด (มีข้อปลีกย่อยหลายอย่างของเยอรมันที่อาจทำให้จำนวน ส.ส.จากบัญชีรายชื่อไม่เท่ากับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งแต่จำนวนที่แตกต่างไม่มากนัก)
             ทำไม? ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้นำระบบเลือกตั้งนี้ไปใช้ โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชีย ทุกระบบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่โดยส่วนตัวเห็นว่ามีข้อดีมากกว่า จึงเสนอให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณา
             1. ประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่ จะใช้วิธีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนด้วยการแบ่งเป็นเขตละ 1 คน ซึ่งแต่ละเขตจะมีสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกันโดยเฉพาะสภาพทางภูมิศาสตร์ ทรัพยากร เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ ทำให้ผู้แทนราษฎรแต่ละเขตพยายามปกป้องและดูแลผลประโยชน์ของประชาชนในเขตตน ในสภาผู้แทนราษฎรจึงเกิดบรรยากาศของการปกป้องผลประโยชน์ของท้องถิ่น จนในบางครั้งลืมหรือละเลยผลประโยชน์ของชาติไป
             จึงเกิด ส.ส. หรือผู้แทนในระบบบัญชีรายชื่อขึ้นเพื่อให้เป็นผู้แทนของชาติ เข้าไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร จะได้ไปละลายความคิดของผู้แทนเขตให้ลดดีกรีลงไป เพราะผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด
             2. ระบบนี้มุ่งสนับสนุนความเข้มแข็งของพรรคการเมือง โดยพรรคการเมืองต้องคัดสรรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่างๆมาเสนอให้ประชาชนพิจารณา เรียกว่าพรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค จึงมีความจำเป็นที่นักการเมืองต้องไปเสาะหาคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของสังคม มาประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบก่อนการเลือกตั้ง ประกอบกับนโยบายของพรรคที่มีต่อประชาชน เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความเป็นไปได้ของนโยบาย เพราะมีการเตรียมการในด้านบุคลากรไว้อย่างพร้อมเพรียง
             3. ระบบการเลือกตั้งนี้ได้รับรองสิทธิของประชาชนในการเลือกตั้ง เพราะทำให้คะแนนเสียงมีความหมายทุกคะแนน เพราะถ้ามีแต่ ส.ส. ระบบเขต ผู้ชนะการเลือกตั้งเท่านั้นที่ได้เป็นผู้แทนราษฎร คะแนนของผู้ที่ได้ ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไม่มีความหมายถูกทิ้งไปทั้งหมด
             แต่ในระบบนี้ เปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกได้ทั้ง ส.ส. เขตและ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรค คะแนนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจึงไม่สูญเปล่ามีความหมายทุกคะแนน เพราะเอาไปคำนวณรวมกันในระดับประเทศ
             4. ระบบเลือกตั้งแบบนี้ สามารถผลักคนดีเข้าสู่วงการเมืองได้ง่ายขึ้น ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งในอดีตของไทย ค่อนข้างสกปรกใช้อิทธิพลทุกรูปแบบเพื่อให้ได้ชัยชนะโดยไม่คำนึงว่าจะผิดกฎหมายหรือไม่ เราจึงได้ผู้แทนราษฎรที่แสวงหาประโยชน์ส่วนตนไม่คำนึงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่ประชาชนมอบความไว้วางใจมา
             การเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งจากบัญชีรายชื่อจึงน่าเชื่อว่าจะได้คนดี มีความสามารถ เสียสละ และซื่อสัตย์ เข้าสู่วงจรการเมืองได้จำนวนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองจะมีแนวคิดและวิจารณาญาณอย่างไรในการคัดสรรคนที่มีความสามารถคนที่มีความสามารถมาช่วยสร้างประเทศ
             5. เป็นการช่วยสนับสนุนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติให้เข้มแข็ง และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้น    การที่ได้ ส.ส.จำนวนหนึ่งจากระบบบัญชีรายชื่อซึ่งมีความรู้ความสามารถในวิชาชีพสาขาต่างๆมาทำงานในสภา จำทำให้การพิจารณากฎหมายต่างๆ มีความรอบคอบมากขึ้น โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพต่างๆ แต่เดิมสภาฯ ก็ฟังข้อมูลจากข้าราชการ ซึ่งเป็นการฟังความข้างเดียวเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ก็จะทำให้สมาชิกสภาได้ฟังข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจได้มากขึ้น
             ยังมีเหตุผลที่มีความสำคัญในการใช้ระบบเลือกตั้งนี้อีกหลายประการ แต่ขอเสนอเหตุผลหลักไว้เพียงเท่านี้ และขอเรียนเพิ่มเติมจากการนำไปใช้โดยเข้าใจผิด และศึกษาอย่างละเอียดทำให้เกิดผลเสียต่อระบบนี้คือ
             ประเด็นแรก  พรรคการเมืองได้นำบุคคลซึ่งจะเป็นรัฐมนตรีไปใส่ไว้ในบัญชีรายชื่อ ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญ 40 ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นรัฐมนตรีต้องลาออก เป็นระบบการแบ่งแยกอำนาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพียงแต่ยังอนุญาตให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปเป็นที่ปรึกษาและเลขานุการรัฐมนตรีได้เท่านั้น
             ประเด็นที่สอง  รัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งเพราะกลัวทหาร แต่ให้นายกรัฐมนตรีเตรียมทีมคณะรัฐมนตรีไว้ให้พร้อม เพื่อโฆษณาหาเสียงไปพร้อมกับการเสนอนโยบายที่เรียกว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อนั้น ต้องการให้ไปสร้างความเข้มแข็งให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติ พรรคการเมืองต้องไปคัดสรรบุคคลให้สาขาวิชาชีพต่างๆ ซึ่งมีชื่อเสียงและประชาชนยอมรับ โดยหวังผลให้พรรคของตนได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด
             ประเด็นที่สาม พรรคการเมืองทั้งหมดที่เรามียังติดต่ออยู่กับระบบอุปถัมภ์ เอาคนที่เล่นการพนัน ผู้มีอิทธิพล คนที่มีประวัติไม่ดีมาใส่ไว้ในบัญชีรายชื่อ ทำให้หลักการที่สำคัญของระบบนี้เสียหายเพราะเจตนารมณ์ต้องการให้คนดี มีความสามารถ (ซึ่งไปไม่ได้กับวิธีการเลือกตั้งของไทย) มีโอกาสมารับใช้ประเทศชาติ
             ประเด็นที่สี่ ผู้อาวุโสและมีอิทธิพลในพรรคการเมืองต่างๆ เริ่มใช้อิทธิพลผลักดันลูกหลาน ญาติของตนเองขึ้นมาแทนตน โดยผันตนเองขึ้นไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ ที่กล้าทำในลักษณะนี้เพราะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผูกขาดในเขตตน เป็นการเบียดบังที่นั่งของคนที่มีความรู้ความสามารถ เพราะโอกาสที่พรรคจะเลือกคนอื่นมากกว่าพรรคพวกเกิดได้ยาก
             ประเด็นที่ห้า พรรคการเมืองที่มีอยู่ในสังคมไทยขาดการพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมาตรฐาน ทั้งๆที่ได้รับเงินอุดหนุนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเองก็ขาดการติดตามประเมินผล การใช้เงินของพรรคว่าเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร ต้องไม่ลืมว่า เงินอุดหนุนของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นภาษีของประชาชน
             อยากให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญเปิดใจให้กว้าง พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ นึกถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนควรได้รับมากที่สุด เขียนรัฐธรรมให้ดีอย่างไรก็แก้กิเลสคนไม่ได้ ทำได้ดีที่สุดคือ สร้างกลไกที่เหมาะสมขึ้นมา
             ขอเรียนว่ารูปแบบใดก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการใช้เงินซื้อเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ ผู้เขียนคิดว่าขึ้อยู่กับวิธีการจัดการการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพจะช่วยได้มากที่สุด
             ต้องสร้างระบบอื่นๆไม่ให้คนเลวได้มีอำนาจ ขณะนี้วิธีการจัดการการเลือกตั้งที่มีอยู่ยังมีจุดอ่อนและข้อบกพร่อง
             ผู้ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบต้องอุดช่องโหว่นี้ เพื่อให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุดหรือเลวน้อยที่สุด !

แก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง

    การเลือกตั้ง  ส.ส. รวมทั้งการเลือกตั้งตำแหน่งอื่นๆ มีการใช้เงินใช้ทองซื้อเสียงมาก เนื่องจากสาเหตุหลายประการที่ประกอบขึ้นเป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทยเท่าที่เห็นชัดๆ มี

1.การพัฒนาเศรษฐกิจในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมาทำให้เกิดกากระจายความมั่งคั่ง ที่ไม่เท่าเทียมกันมากขึ้น คนรวยๆขึ้นมาก คนจนอยู่เท่าๆเดิมหรือจนลง จึงมีคนประเภทที่ลงสมัคร ส.ส.แล้วใช้เงินคนละ 10-20 ล้านบาท หรือมากกว่านั้นในการหาเสียงและซื้อเสียงเป็นเรื่องธรรมดา หรือมีนายทุนมีพรรคที่พร้อมจะจ่ายเงินให้ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยากจนได้ค่าจ้างวันละ 100 กว่าบาทหรือน้อยกว่านั้น ดังนั้นการขายเสียง 500 บาท จึงมีความหมายสำหรับประชาชนยากจนมาก เพราะปกติเขาก็ไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารและมองไม่ค่อยเห็นว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากการเลือก ส.ส.อยู่แล้ว การขายเสียงจึงเป็นวิธีการต่อรองอย่างหนึ่งของคนจน โดยที่เขาไม่ตระหนักว่าในระยะยาวแล้วการต่อรองแบบนี้ยิ่งทำให้พวกเขาเสียเปรียบคนที่ซื้อเสียงเข้าไปเป็นผู้แทน เป็นรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น
     2. การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์แบบศักดินา ซึ่งรวมทั้งแบบเจ้าพ่ออุปถัมภ์ แต่กลับทำให้เข้มแข็งขึ้น ประชาชนยังคงถูกสั่งสอนกล่อมเกลาให้เคารพกราบไหว้คนมีอำนาจ คนมีตำแหน่ง คนรวย ที่พวกเขาเชื่อว่ามีอำนาจ มีบุญบารมีที่จะช่วยเหลือเขาได้เวลาที่เขาต้องการพึ่งพา  และสามารถจะลงโทษเขาได้ถ้าเขาไม่สวามิภักดิ์ ไม่จงรักภักดี ในระบบนี้ผู้สมัคร ส.ส.ไม่ได้ใช้เงินซื้อเสียงอย่างเดียว แต่ใช้อำนาจบารมี ใช้การผูกพันให้คนรู้จักเป็นบุญคุณ ใช้การข่มขู่ ผ่านเครือข่ายหัวคะแนนซึ่งเป็นคนกว้างขวางในท้องถิ่นที่ชาวบ้านต้องรับเงินและต้องเลือกคนที่ให้เงิน ไม่ใช่เพราะอยากได้เงินอย่างเดียว หากเลือกเพราะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณหวังพึ่งพาต่อไป รวมทั้งเกรงกลัวด้วยว่าถ้ารับเงินมาแล้วไม่เลือกคนที่ให้เงิน ครอบครัวของตนหรือคนทั้งหมู่บ้าน หรือหัวคะแนนจะถูกลงโทษ
3. ระบบข้าราชการแบบรวมศูนย์ยังมีอำนาจเหนือประชาชนทั่วไปมากเกินไป โดยเฉพาะในต่างจังหวัด และนอกเขตเทศบาลทั้งทหาร ตำรวจ และมหาดไทย ยังมีอำนาจและมีอิทธิพล ส่วนใหญ่พวกเขาพร้อมจะร่วมมือกับคนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ และการเมืองมากกว่าจะทำตัวเป็นกลาง หรือเป็นที่พึ่งของประชาชน ข้าราชการยังไม่รู้สึกตัวว่าเป็นผู้กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ประชาชนก็ไม่รู้สึกว่า ตนเป็นเจ้าของประเทศ เพราะประชาชน ส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีทางอ้อม จึงไม่รู้ว่าเป็นงบประมาณมาจากภาษีของตน รัฐบาลก็ไม่ค่อยให้ข้อมูลข่าวสารเรื่องจำนวนและที่มาของภาษี ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตนเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการ และไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า “ของหลวง” ที่แท้จริงคือเงินภาษีของประชาชน เช่น คนจำนวนมากใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า ใช้อุปกรณ์ของทางราชการต่างๆอย่างฟุ่มเฟือยเพราะคิดว่าเป็น “ของหลวง” ไม่ใช่ของตน
4. การพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ สร้างค่านิยมที่นับถือยกย่องเงิน และการบริโภคเป็นพระเจ้า เงินกลายเป็นเป้าหมายในชีวิต กระบวนการได้เงินมาไม่สำคัญ ขอให้ได้มาเป็นใช้ได้ คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าการซื้อขายเสียงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจแนวนี้ การพัฒนาแบบนี้ทำให้คนไม่ได้นับถือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้นับถือหลักการ อุดมการณ์ประชาธิปไตย หรือความถูกต้องชอบธรรม อย่าว่าแต่ชาวบ้านหรือนักการเมืองจะซื้อเสียงขายเสียงเลย ข้าราชการหลายหน่วยงานก็ประจบสอพลอ วิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง พ่อค้า นักธุรกิจ ก็จ่ายเงินวิ่งเต้นให้ข้าราชการเวลาต้องการสัมปทานหรือประโยชน์ทางธุรกิจ ฯลฯ
5. การจัดการศึกษาที่เน้นระบบท่องจำ การเชื่อฟังครูอาจารย์และตำรา ได้แต่สร้างคนที่มีความรู้สามัญและความรู้ทางวิชาชีพ แต่ไม่สร้างคนที่รู้จักการคิดวิเคราะห์ มีความนับถือตนเอง ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง คนไทยถึงจะได้เรียนหนังสือมากขึ้น ก็ยังคิดและมีค่านิยมไม่ต่างจากเดิม คือ ชอบทำตามกระแสส่วนใหญ่ในสังคมเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ มากกว่าที่จะทำเพื่อการมองการณ์ไกล หรือเพื่อหลักการ
ปัญหาการซื้อเสียงจึงเป็นผลมาจากการพัฒนาของสังคมไทยทั้งหมด เราไม่อาจมองปัญหาแบบง่ายๆ ว่าเพราะชาวบ้านโง่เขลาเป็นแค่เงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท และพยายามแก้ไขโดยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ไม่ให้ชาวบ้านขายเสียง การโฆษณาแบบนั้นจะเป็นการเสียเงินที่มาจากภาษีของประชาชนเพิ่มขึ้นอีก
    ทางแก้ปัญหานี้ ต้องปฏิรูปทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม (การศึกษา วัฒนธรรม ค่านิยม) เพื่อกระจายความรู้ ความมั่งคั่ง อำนาจต่อรอง สิทธิและโอกาสไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึงและยุติธรรม ไม่ใช่แค่ปฏิรูปการเมืองด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา หรือการมุ่งทำให้เศรษฐกิจส่วนรวมเจริญเติบโตเท่านั้น
การปฏิรูปการเมืองนอกจากจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้ประชาชนมีบทบาทมากขึ้นแล้วยังจะต้องรวมถึงการกระจายอำนาจการปกครอง และการคลังไปสู่ท้องถิ่น และการปฏิรูประบบราชการให้เล็กลงมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีระบบการตรวจสอบไม่ให้นักการเมืองและข้าราชการฉ้อฉลใช้อำนาจในทางที่ผิดด้วย
การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และสังคม เป็นหัวใจที่สำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปการเมืองเป็นประชาธิปไตย เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แทนที่จะคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจแต่เรื่องการส่งออก การแก้ปัญหาการขาดทุนบัญชีเดินสะพัด ฯลฯ ควรคิดเสียใหม่ว่าถ้าเรามุ่งพัฒนาให้คนไทย 60 ล้านคน (ซึ่งมากกว่าอังกฤษเล็กน้อย แต่เศรษฐกิจเราเล็กกว่าอังกฤษหลายเท่า) มีที่อยู่อาศัย มีอาหาร สินค้าและบริการต่างๆที่ยกระดับคุณภาพชีวิต มีการศึกษาดี มีงานทำที่มีประสิทธิภาพ ประชาชน 60 ล้านคน ก็จะเป็นพลังงานเศรษฐกิจอย่าง มหาศาล เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ถ้าให้ประชาชนร่ำรวย เศรษฐกิจไทยจะโตกว่านี้หลายเท่า เพราะประชาชนมีอำนาจซื้อ ตลาดในประเทศจะมีขนาดใหญ่ขึ้น สินค้าที่ผลิตได้ไม่ต้องพึ่งการส่งออกทั้งหมด แต่ขายในประเทศได้ด้วย เงินก็จะหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจแบบส่งเสริมซึ่งกันและกัน
เมื่อคนไทยส่วนใหญ่มีฐานะดีขึ้น และฐานะไม่แตกต่างกันมาก ความรู้และข้อมูลข่าวสารที่พวกเขาได้รับไม่แตกต่างกันมาก การจะซื้อเสียง การจะเอาเปรียบกันด้วยวิธีต่างๆก็จะลดลงเหมือนในประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งหลายประเทศมีประชากรและทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่าเราด้วยซ้ำ แต่เศรษฐกิจเขากลับดีกว่า ประชาชนมีมาตรฐานความเป็นอยู่ดีกว่า และการเมืองเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงมากกว่า เราควรแข่งขันกับประเทศอื่นในแง่ทำให้มาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่และความรู้ประชาชนดีขึ้นด้วย  ไม่ใช่การแข่งขันเรื่องส่งออกสินค้าและบริการเท่านั้น เพราะถ้าประชาชนกินดีอยู่ดี การศึกษาดี ทำงานเก่ง ก็จะแข่งกับต่างประเทศได้ทุกทางและแก้ปัญหา พัฒนาตัวเองในทุกด้านได้ดีขึ้นด้วย

ความรู้เรื่องการเลือกตั้งของไทย

ประชาชนมีหน้าที่เลือกตั้ง
      มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้การไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของบุคคลเหมือนกับ หน้าที่การเสียภาษี ดังนั้นบุคคลที่มีสัญญาติไทยโดยการเกิด หรือได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติมาไม่น้อยกว่า 5 ปี และมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในเขตเลือกตั้ง หรือนอกเขตเลือกตั้ง หรือแม้แต่พำนักอยู่ในต่างประเทศ ทุกคนมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

    บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
1. วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ 
2. เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
3. ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาล หรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
4. อยู่ในระหว่างเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
การใช้สิทธิเลือกตั้ง
    ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
1. ผู้ที่มีสัญชาติไทย ถ้าแปลงสัญชาติต้องได้สัญชาติไทยมาไม่น้อยกว่า 5 ปี
2. มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง
3. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง

    การตรวจดูรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
1. ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอ
2. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด
3. ประชาชนสามารถไปตรวจดูรายชื่อ และขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งปี

บัตรเลือกตั้ง
    บัตรเลือกตั้งมี 2 แบบ
1. บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
2. บัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ

     ลักษณะของบัตรเลือกตั้งมีสีต่างกัน และมีต้นขั้วบัตรเลือกตั้งสำหรับพิมพ์ลายนิ้วมือหัวแม่มือขวา ที่มุมบนด้านขวาของบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 แบบ

วิธีการใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง

    วิธีการใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง1. แสดงบัตรประจำประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ที่หน่วยเลือกตั้ง
2. รับบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 แบบ (บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 1 ใบ และบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 1 ใบ)
3. พิมพ์ลายนิ้วมือหัวแม่มือขวาที่ต้นขั้วบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 ใบ เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้รับบัตรเลือกตั้งแล้ว (ถ้ามีการร้องเรียนว่าที่หน่วยเลือกตั้งนั้นมีการทุจริตการเลือกตั้ง ต้นขั้วนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญในการตรวจสอบ)
4. เข้าคูหา ทำเครื่องหมายกากบาทในบัตรเลือกตั้ง
    - กากบาทเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงหมายเลขเดียว ที่บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
    - กากบาทเลือกพรรคการเมืองเพียงหมายเลขเดียว ที่บัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
    - ถ้าไม่ต้องการลงคะแนนให้ใคร หรือพรรคการเมืองใด กากบาทที่ช่องไม่ลงคะแนน
5. หย่อนบัตรเลือกตั้งด้วยตนเองทีละใบ ต่อหน้ากรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง
      วิธีการนับคะแนน
ในการนับคะแนนให้เอาคะแนนที่แต่ละบัญชีรายชื่อได้รับจาก 400 เขตเลือกตั้งทั่วประเทศมารวมกัน วิธีคำนวณจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อให้ทำดังนี้
  • ให้จำนวนคะแนนเสียงแบบบัญชีรายชื่อรวม 400 เขตเลือกตั้งทั้งประเทศ = A
  • บัญชีรายชื่อใดได้รับคะแนนไม่ถึงร้อยละ 5 ของ A ให้ตัดออกไป
  • เมื่อตัดบัญชีรายชื่อที่ได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 5 ออกไปแล้ว ให้จำนวนคะแนนเสียงจาก บัญชีรายชื่อที่เหลือรวมกันทั้งประเทศเท่ากับ B
  • ให้ถือ B/100 = 0.01 B เป็นคะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน
  • คะแนนเสียงที่บัญชีรายชื่อได้รับ/0.001 B = จำนวน ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งจากบัญชีรายชื่อนั้น + เศษ/0.01 B ผู้ที่ได้เป็น ส.ส. คือรายชื่อแรกของบัญชีรายชื่อ ไล่ไป ตามลำดับจนครบจำนวน ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งจากบัญชีรายชื่อนั้น
          ถ้ารวมจำนวน ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งแล้วยังไม่ครบ 100 คน ให้เพิ่ม ส.ส. ให้แก่บัญชีรายชื่อที่มีเศษมากที่สุดอีกหนึ่งคน เรียงตามลำดับจนกว่าจำนวน ส.ส. รวมแล้วได้ 100 คน

การเลือกตั้งในประวัติศาสตร์ไทย

การเลือกตั้งในประวัติศาสตร์ไทยมีมาทั้งหมด 25 ครั้ง
  1. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 1 (15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476)
  2. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 2 (7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480)
  3. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 3 (12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481)
  4. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 4 (6 มกราคม พ.ศ. 2489)
  5. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 5 (5 สิงหาคม พ.ศ. 2489)
  6. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 6 (29 มกราคม พ.ศ. 2491)
  7. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 7 (5 มิถุนายน พ.ศ. 2492)
  8. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 8 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495)
  9. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 9 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500)
  10. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 10 (15 ธันวาคม พ.ศ. 2500)
  11. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 11 (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512)
  12. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 12 (26 มกราคม พ.ศ. 2518)
  13. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 13 (4 เมษายน พ.ศ. 2519)
  14. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 14 (22 เมษายน พ.ศ. 2522)
  15. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 15 (18 เมษายน พ.ศ. 2526)
  16. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529)
  17. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 17 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531)
  18. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 18 (22 มีนาคม พ.ศ. 2535)
  19. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 19 (13 กันยายน พ.ศ. 2535)
  20. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 20 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538)
  21. การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 21 (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539)
  22. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2544 (6 มกราคม พ.ศ. 2544)
  23. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2548 (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548)
  24. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2549 (2 เมษายน พ.ศ. 2549)
  25. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550 (23 ธันวาคม พ.ศ. 2550)
  26. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2554 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554)